tag:blogger.com,1999:blog-16471684850333779162024-03-12T19:16:46.410-07:00โหลดแจก ความรู้เรื่องสุขภาพ ฟรี!hahawsung555http://www.blogger.com/profile/12686552185572202078noreply@blogger.comBlogger8125tag:blogger.com,1999:blog-1647168485033377916.post-2483415529500446612010-06-07T12:18:00.000-07:002010-06-06T23:41:13.404-07:00สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศ ค่ะ<div style="text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAqi5foTmSI/AAAAAAAAALU/f1eGz9-XNuA/s1600/mask.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" gu="true" src="http://1.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAqi5foTmSI/AAAAAAAAALU/f1eGz9-XNuA/s320/mask.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ</span></strong><br />
<strong><span style="color: orange;">ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ</span></strong></div><br />
แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน) <br />
<br />
วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี<br />
<br />
แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม) <br />
<br />
วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก <br />
<br />
แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี) <br />
<br />
วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น <br />
<br />
แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) <br />
<br />
วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น <br />
<br />
แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส) <br />
<br />
วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น <br />
<br />
แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น) <br />
<br />
วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด <br />
<br />
แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย) <br />
<br />
วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน... <br />
<br />
ต้องการดาวโหลดไปอ่านต่อ ...คลิ๊กลิงค์ด้านล่างจร้า!<br />
<br />
<br />
<center><a href="http://www.ziddu.com/download/10155875/7Mask7.txt.html" target="_blank"><img alt="ดาวโหลด" border="0" src="http://i861.photobucket.com/albums/ab174/hahawsung555/Button-load-tip-face.gif" /></a></center><center> </center><center> </center>hahawsung555http://www.blogger.com/profile/12686552185572202078noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1647168485033377916.post-9515041689251412732010-06-06T06:54:00.000-07:002010-06-06T06:55:13.186-07:00การดื่มน้ำที่ถูกวิธี (ตำราคนจีน)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAulknIKcBI/AAAAAAAAAME/ImZdQ0lzhA0/s1600/water.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" gu="true" src="http://2.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAulknIKcBI/AAAAAAAAAME/ImZdQ0lzhA0/s320/water.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;"><strong>วารสารทางการแพทย์ บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า </strong></span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;"><strong>ความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบ ความดันโลหิตในร่างกาย </strong></span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;"><strong>แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว </strong></span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;"><strong>เพื่อลดความเข้มของโลหิต พวกเราลองดูละกัน </strong></span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;"><strong>อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกัน</strong></span></div><br />
เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ <br />
นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำ <br />
<br />
น้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำ อันที่จริงน้ำสามารถ<br />
ปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้ <br />
<br />
นายแพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้ว<br />
ได้ผลดี ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) <br />
หรือน้ำหนักของน้ำ 1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อย <br />
หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน <br />
ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรค<br />
แทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัย<br />
ในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง <br />
เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ ควรจะเผยแพร่ให้มากขึ้น <br />
ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" <br />
ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ใหญ่<br />
ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่งทำหน้าที่<br />
ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิต เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจาง<br />
มีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของใหญ่¬่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ<br />
จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่<br />
เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน <br />
<br />
มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน <br />
วิธีดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท <br />
ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็น <br />
ปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค <br />
เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด <br />
กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ <br />
ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ <br />
และโรคผิวหนังต่างๆ <br />
<br />
<span style="color: #ffd966;">ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว</span><br />
<br />
1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า <br />
ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปี <br />
กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปี ได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน <br />
รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ได้ผล ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลอง<br />
ดื่มน้ำสุกอย่างนี้ ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน <br />
และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกิน <br />
วันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ 3 ครั้ง <br />
หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆ มาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีก<br />
ถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. <br />
เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น<br />
<br />
2. เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน <br />
ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป <br />
ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท <br />
โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำ <br />
นวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หาย แต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ<br />
<br />
3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้<br />
ผลิตโลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ <br />
จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ <br />
ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็นของเหลว เมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่<br />
ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย <br />
<br />
4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือน<br />
เริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ <br />
ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย <br />
ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน <br />
ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต <br />
<br />
ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อน<br />
เพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมง<br />
ไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น <br />
และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้<br />
หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้า<br />
ปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด ดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง <br />
จะปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน 7 - 8 วัน การปัสสาวะ<br />
เป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ <br />
นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตาย<br />
ด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้ จึงเขียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน ขอให้ทุกท่านจงปราศจากการไข้<br />
และป่วยต่างๆ <br />
<br />
<span style="color: #93c47d;"> ข้อควรทราบ</span> หลังจากอาตมาได้ทราบตามข้อนี้ และได้ปฏิบัติตาม รู้สึกว่าโรคต่างๆ <br />
ที่คนชราโดยมากเป็นอยู่บัดนี้รู้สึกว่าเริ่มสบายขึ้นเป็นลำดับเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมจึงขอยืนยัน<br />
มาให้ทราบ เป็นการกุศลต่อไป ท่านที่รับหลักการนี้ไปปฏิบัติแล้ว ถ้ามีประโยชน์ดีควรเผยแพร่ต่อไป<br />
เพื่อเป็นการกุศลนะคะ<br />
<br />
ต้องการดาวโหลดไปอ่านต่อ ...คลิ๊กลิงค์ด้านล่างจร้า!<br />
<br />
<br />
<center><a href="http://www.ziddu.com/download/10167095/drinkWater.txt.html" target="_blank"><img alt="ดาวโหลด" border="0" src="http://i861.photobucket.com/albums/ab174/hahawsung555/Button-load-tip-face.gif" /></a></center><center> </center><center> </center>hahawsung555http://www.blogger.com/profile/12686552185572202078noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1647168485033377916.post-12550769945981836892010-06-06T05:24:00.000-07:002010-06-06T05:24:24.805-07:00นม มัจจุราชเงียบที่กำลังคุกคามผู้ดื่ม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAuQKIWrluI/AAAAAAAAAL8/51z7EoAI8oM/s1600/milk.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" gu="true" height="200" src="http://1.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAuQKIWrluI/AAAAAAAAAL8/51z7EoAI8oM/s200/milk.jpg" width="160" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;"><strong>ใครๆ ก็แนะนำให้ดื่มนม นมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ </strong></span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;"><strong>ซึ่งเป็นความจริงที่สำหรับคนเราในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 </strong></span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;"><strong>เพราะตอนนั้นข้าวของทุกอย่างแพงหมด เพราะขาดแคลน </strong></span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;"><strong>คนที่มีเงินเท่านั้นจึงจะได้กินดีอยู่ดี ได้รับโปรตีนมากกว่า </strong></span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: orange;"><strong>ทำให้มีสุขภาพดีกว่าคนที่ขาดอาหาร ขาดโปรตีน</strong></span> <br />
</div> แต่ในสมัยนี้มันเปลียนไปแล้ว เพราะคนส่วนมากจะเกิดภาวะการบริโภคเกินซะมากกว่า <br />
และที่สำคัญโปรตีนที่คนส่วนใหญ่ได้มา ส่วนหนึ่งก็มาจากการดื่มนมนั่นเอง <br />
ในนมมีอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทั้งที่ในนม มีไขมัน โปรตีน และแคลเซียม ไขมันในนมเป็นไขมันจากสัตว์ <br />
ซึ่งอุดมไปด้วยโคเลสเตอรอล เป็นไขมันอิ่มตัว เราอุตส่าห์หนีน้ำมันหมู <br />
แล้วยังมากินนมเอาโคเลสเตอรอลเข้าไปอีกหรือ คนที่วิจัยเรื่องนี้ ก็คือ The Milk Industry Foundation <br />
บอกว่า คนกินนมแล้วเสี่ยงต่อโรคอ้วน บริษัทนมจึงแก้ปัญหาด้วยการทำนมพร่องไขมัน <br />
ซึ่งก็ยังมีไขมันเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง<br />
<br />
จากข้อสังเกตที่ว่า คนอเมริกันกินนมเยอะที่สุด และมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินพ่วงตามมาด้วย <br />
ผู้ชายอ้วน 27% ผู้หญิง 46% ในขณะที่สถิติเรื่องอ้วนในคนไทยมีแค่ประมาณ 20% ทั้งหญิงและชาย<br />
เรื่องเบาหวานในคนอเมริกันก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ ขอกระซิบเบาๆ ว่า คนอเมริกันเป็นเบาหวานมากกว่า<br />
คนไทย 3 เท่าเชียวนะ สถิติโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ในคนอเมริกันล้วนแล้วแต่สูงกว่า<br />
คนไทยทั้งสิ้น น่าแปลกที่ฝรั่งที่มาสอนให้เราดื่มนมป้องกันกระดูกพรุน กลับมีอัตราเสี่ยงต่อ<br />
โรคกระดูกพรุนมากกว่าเราเกือบ 9 เท่า ! จึงมีคนเอะใจว่า การกินอาหารแบบอเมริกัน<br />
น่าจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราเจ็บป่วยเสียแล้ว และเรื่องนมวัวก็ไม่หลุดรอดจากการตรวจสอบไปได้ <br />
ผลจากการตรวจสอบเราพบว่าปัญหาจากนมวัวเกิดเพราะสถานการณ์ต่างๆ ในโลกได้เปลี่ยนไป<br />
สุขภาพคนไทยเปลี่ยนจากทุโภชนาการเป็นโภชนาการล้นเกิน สถานการณ์แรกที่ต้องคิดถึงก็คือ <br />
การรณรงค์ให้ดื่มนมวัวเริ่มสมัยหลังสงครามโลกใหม่ๆ สมัยนั้นเป็นสมัยที่คนไทยยังขาดอาหารอยู่ <br />
มีภาวะทุโภชนาการอยู่ทั่วไป แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม <br />
คนไทยมีอาหารการกินอย่างเหลือเฟือ จนโรคอ้วนถามหากันเป็นทิวแถว การมาส่งเสริมให้ดื่มนม<br />
กลับเป็นการซ้ำเติมโรคอ้วนให้แย่ลงไปอีก<br />
<br />
มีวิจัยว่า นมวัวเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจหลอดเลือด <br />
แม้ว่าคุณจะดื่มนมพร่องไขมันแล้วก็ตาม แต่คำว่าพร่องไขมันในที่นี้ เป็นการเล่นคำ <br />
เพราะพร่องไขมันก็คือยังมีไขมันอยู่ แต่น้อยกว่าปกติเท่านั้นเอง<br />
<br />
มีการนำเอาเด็กนักเรียนโรงเรียนนานาชาติในจังหวัดเชียงใหม่มาตรวจหาระดับไขมันในเลือดดู<br />
พบว่าเด็กเหล่านี้ที่ถูกเลี้ยงดูให้กินนมต่างน้ำ มีไขมันสูง ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีสูงถึง 25% อายุ 6-15 ปี<br />
มีถึง 70% และระดับไขมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ นั่นหมายความว่าเด็กเหล่านี้เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว <br />
เขาก็มีปัญหาไขมันอุดตันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว<br />
<br />
<span style="color: red;">นมวัวเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ - ไซนัสอักเสบ - หอบหืด</span><br />
<br />
นมวัวเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ และหอบหืดในคนไทยด้วย เพราะว่าพันธุกรรม<br />
ของคนไทยนั้นมักจะแพ้ต่อนมวัว เคยมีการวิจัยในอาสาสมัครคนไทยที่ให้ดื่มนมวัวแล้วนำมาส่องดู<br />
เยื่อบุโพรงจมูกและเยื่อบุลำไส้ พบว่าคนเหล่านี้มีอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูกและลำไส้ถึง 100%<br />
<br />
<span style="color: red;">ดื่มนมเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี</span><br />
<br />
เนื่องจากนมเป็นสาเหตุที่สำคัญของไขมันในเลือดสูง ดังนั้นนมจึงมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงต่อ<br />
โรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย ทั้งนี้นิ่วในถุงน้ำดีบางส่วนเกิดจากการที่มีสมดุลของน้ำดีและไขมันผิดปกติ <br />
ทำให้น้ำดีตกตะกอนเป็นนิ่วได้<br />
<br />
<span style="color: red;">ดื่มนม...มะเร็งอาจถามหา</span><br />
<br />
นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1950-1975 หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม นักวิจัยชาวญี่ปุ่นพบว่าคนญี่ปุ่นดื่มนมเพิ่มขึ้น 15 เท่า <br />
กินเนื้อสัตว์เพิ่ม 7.5 เท่า ผลก็คือในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้หญิงญี่ปุ่นป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด <br />
มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้มากกว่าเดิม 300% ซึ่งตรงกับงานวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์<br />
แห่งชาติอเมริกาที่ว่า อาหารไขมันอิ่มตัวสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ <br />
มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม<br />
<br />
การประชุมกองทุนวิจัยมะเร็งโลก (WCRF) และสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (AICR) ก็มีงานวิจัย<br />
การสรุปออกมาเหมือนกันว่านมเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของมะเร็ง แต่ด้วยความเกรงใจบริษัทที่มี<br />
ส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ ก็เลยมีการแก้ไขถ้อยคำให้รุนแรงน้อยลงหน่อยว่า <br />
นมอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็ง<br />
<br />
<span style="color: red;">นมไม่ใช่แหล่งอาหารที่ดีที่สุด</span><br />
<br />
การวิจัยว่าการที่ชาวตะวันตกเกิดโรคมากมายมีผลมาจากการดื่มนม 150 ลิตร/ปี <br />
หรือเฉลี่ยคือการดื่มนมมากเกิน 1.6 แก้ว/วัน แต่อย่าลืมนะว่าฝรั่งน่ะตัวใหญ่กว่าเรานะ <br />
ดังนั้นการออกมารณรงค์ให้คนไทยที่ดื่มนมวันละ 1 แก้วก็นับว่ามากจนเกินไป<br />
<br />
<span style="color: red;">จะกินดื่มอะไร ถ้าไม่ให้ดื่มนม(วัว)</span><br />
<br />
มีคนถามว่า ถ้าการดื่มนมวัวน่าจะเกิดโทษมากกว่าเกิดประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นเราจะกินดื่มอะไรกันดี<br />
<span style="color: blue;"> เด็ก</span> นมแม่มีประโยชน์ที่สุด การเข้ามาของผลิตภัณฑ์นม ทำให้แม่ลดการให้นมลูกเองเหลือเพียง 4 % <br />
กรณีที่แม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แม่สามารถกลับมาป้อนนมได้ในตอนเย็นและค่ำ <br />
หลังจากนั้นปั๊มน้ำนมเก็บใส่ตู้เย็นไว้ เพื่อให้คนที่บ้านป้อนเด็กในตอนกลางวัน<br />
การให้นมแม่ประหยัดเงินได้มาก ลูกมีภูมิต้านทานดี ไม่เจ็บป่วยง่าย เด็กที่เติบโตด้วยนมแม่จะอารมณ์ดี<br />
นมวัวมีกรณีให้เลือกสถานเดียว คือกรณีที่แม่ไม่มีน้ำนมพอให้ลูก ก็อาจพิจารณาให้นมวัวที่ปรับสภาพ<br />
ให้ใกล้เคียงนมแม่ ให้ดื่มจนครบ 1 ขวบแล้วให้เลิกเสีย โดยให้กินอาหารอย่างอื่นแทน <br />
อีกทางหนึ่งคือ ให้เลี้ยงลูกด้วยนมถั่วเหลือง โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีประวัติเป็นภูมิแพ้ <br />
ลูกจะมีโอกาสเกิดภูมิแพ้มากขึ้นถ้าให้ดื่มนมวัว ส่วนเด็กเล็กและเด็กโตกินอาหารธรรมชาติ <br />
โดยไม่ต้องดื่มนม แต่ถ้ายังไม่สบายใจ พ่อแม่ก็อาจจะให้ลูกดื่มนมถั่วเหลือง <br />
ซึ่งก็มีโปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว ถ้าจะเปรียบเทียบแหล่งโปรตีนแล้ว กินหมูกินไก่ก็ได้โปรตีน<br />
ทั้งคุณภาพและปริมาณ<br />
<br />
- นมวัว 1 แก้ว ให้โปรตีน 8.5 กรัม <br />
<br />
- นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ให้โปรตีน 7 กรัม<br />
<br />
- น่องไก่ 1 ชิ้น ให้โปรตีน 18.8 กรัม <br />
<br />
<span style="color: blue;"> หญิงมีครรภ์</span> หญิงมีครรภ์ต้องการแคลอรี โปรตีน กรดไขมันจำเป็น แคลเซียม ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินต่างๆ แต่คุณแม่ต้องรู้ว่าไม่ต้องการสารเหล่านี้เป็น 2 เท่า เพราะเด็กในครรภ์ตัวเล็กกว่าแม่ 15 เท่า ถ้าขืนกินเข้าไปแบบยัดทะนาน ก็รังแต่จะไปพอกพูนที่ตัวแม่ การดื่มนมอย่างมากมายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่อ้วนหลังคลอด แคลอรีที่ดีต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง<br />
ซึ่งจะใช้เป็นเรี่ยวแรงได้อย่างหมดจด โปรตีน ถ้ากินไก่ ไข่ หมู กุ้ง ปลา ก็ได้โปรตีนเพียงพอ <br />
สามารถดื่มนมถั่วเหลือง และข้าวกล้องก็ให้โปรตีนด้วย <br />
<br />
- เนื้อไก่ส่วนอก 1 ชิ้น (100 กรัม) ให้โปรตีน 11 กรัม<br />
<br />
- ไข่ไก่ 1 ฟอง ให้โปรตีน 10 กรัม<br />
<br />
- ปลา 1 ชิ้น (100 กรัม) ให้โปรตีน 21 กรัม<br />
<br />
- หมูเนื้อแดง 1 ขีด ให้โปรตีน 14 กรัม<br />
<br />
- เต้าหู้ 100 กรัม ให้โปรตีน 13.3 กรัม<br />
<br />
- นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ให้โปรตีน 7 กรัม<br />
<br />
- ข้าวกล้อง 2 ทัพพี ให้โปรตีน 15.6 กรัม <br />
<br />
แคลเซียม อาหารไทยมีแคลเซียมมากมายไม่ต้องพึ่งนมวัว เช่น กุ้งแห้ง กุ้งฝอย ปลากรอบ <br />
มีปริมาณแคลเซียมสูงกว่านม 13-23 เท่า ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์กินเต้าหู้วันละ 1 แผ่น กับกุ้งชุบแป้งทอด<br />
วันละ 1 ชิ้น เท่ากับได้ดื่มนมวันละ 2 แก้ว<br />
ธาตุเหล็ก ใช้สร้างเม็ดเลือดแดง เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วงอก ผักบุ้ง ผักใบเขียว<br />
กรดโฟลิก ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และสำคัญในการพัฒนาระบบประสาท มีมากในผักใบเขียว แคนตาลูป แครอท ตับ ไข่แดง ฟักทอง ถั่วต่างๆ <br />
วิตามิน เกลือแร่ และสารผัก ช่วยจรรโลงขบวนการเคมีทั้งในแม่และทารก ช่วยเสริมภูมิต้านทาน <br />
เป็นฮอร์โมนเสริมสำหรับบำรุงครรภ์ มีในผักสด ผลไม้ต่างๆ ต้องรู้จักกินผักให้หลากหลาย ผักพื้นบ้าน<br />
เครื่องแกง เครื่องสมุนไพรต่างๆ กรดไขมันจำเป็น ช่วยเสริมระบบฮอร์โมน ระบบสืบพันธุ์ให้ทำงานดี <br />
ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอยู่ในน้ำมันปลา น้ำมันดอกพริมโรส น้ำมันเมล็ดฝ้าย<br />
<br />
ถ้าคุณแม่ต้องการดื่มนม ให้ดื่มนมถั่วเหลือง พร้อมโรยงาดำคั่ว วันละ 1-2 แก้ว ก็จะได้ทั้งโปรตีน<br />
และแคลเซียมเพียบพร้อม<br />
<span style="color: blue;"> สำหรับสตรี</span><span style="color: blue;">วัยทอง และผู้สูงอายุ</span> ที่เสี่ยงต่อโรคกระดูกผุ เป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์นมแคลเซียมสูง <br />
สำหรับอาหารไทยเรา มีแคลเซียมอยู่มากมายดังเช่น ปลาร้าผง กุ้งแห้งตัวเล็ก กะปิเคย งาดำคั่ว <br />
กุ้งฝอยน้ำจืด ถั่วแดงหลวง ใบชะพลู มะขามฝักสด แคยอดอ่อน ผักกระเฉด สะเดายอดอ่อน เม็ดบัวดิบ<br />
ถั่วเน่าแห้ง เต้าหู้ขาวอ่อน ผักคะน้า ถั่วเหลือง ปลาไส้ตัน จะเห็นได้ว่าถ้าขยันกินอาหารไทยๆ <br />
จะไม่ขาดแคลเซียมทั้งคนทั่วไป และผู้สูงอายุเลิกดื่มนม(วัว)เสียแต่วันนี้ ร่างกายแข็งแรง ไร้โรคภัยแน่นอน<br />
<br />
ต้องการดาวโหลดไปอ่านต่อ ...คลิ๊กลิงค์ด้านล่างจร้า!<br />
<br />
<br />
<center><a href="http://www.ziddu.com/download/10165957/Milk.txt.html" target="_blank"><img alt="ดาวโหลด" border="0" src="http://i861.photobucket.com/albums/ab174/hahawsung555/Button-load-tip-face.gif" /></a></center><center> </center><center> </center>hahawsung555http://www.blogger.com/profile/12686552185572202078noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1647168485033377916.post-30093437431831278942010-06-06T02:23:00.000-07:002010-06-06T02:23:42.127-07:00กรุ๊ปเลือดกับอาหารต้องห้าม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAtmcIiGOUI/AAAAAAAAAL0/e00i0wcz3EA/s1600/foodblood.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" gu="true" src="http://4.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAtmcIiGOUI/AAAAAAAAAL0/e00i0wcz3EA/s320/foodblood.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">คราวนี้มาดูกันดีว่า กรุ๊ปเลือดอะไรควรและไม่ควรรับประทานอะไรบ้าง</span></strong> </div><br />
<span style="color: red;">กรุ๊ป O</span><br />
<br />
ถือว่า เป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกของโลก<br />
ที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี <br />
สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง <br />
สามารถย่อยโปรตีนได้ง่าย แต่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานไม่ดีนัก <br />
ดังนั้น อาหารที่เลือกรับประทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันมาก โดยเฉพาะเนื้อหมู <br />
ซึ่งร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย <br />
หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่นๆ อีกด้วย <br />
ดังนั้น การรับประทานเพื่อบำรุงจึงขาดกันไม่ได้ ควรเลือกรับประทาน ผักใบเขียวเพื่อได้รับวิตามินเค <br />
จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น นอกจากผักใบเขียวแล้ว คนกรุ๊ปเลือดนี้ ควรรับประทาน มะเขือเทศ <br />
แครอท และน้ำผลไม้รวม เพื่อเพิ่มเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา และควรออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก <br />
เช่น การแอโรบิค ว่ายน้ำ จะทำให้ช่วยคุมน้ำหนักให้คงที่ได้เป็นอย่างดี<br />
<br />
<span style="color: red;">กรุ๊ป A</span><br />
<br />
กลุ่มเลือดนี้เกิดขึ้นในช่วงหมดยุคสมัยแห่งการล่าสัตว์ มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งและรู้จัก<br />
การเพราะปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้จึงเหมาะกับอาหารประเภทข้าว แป้ง <br />
และผัก ผลไม้เป็นที่สุด<br />
ข้อควรจำ คือคนเลือดกรุ๊ป A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่นๆ ควรลดหรือละเว้น นม <br />
เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A เอง และเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ <br />
คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารไนไตรท์มาก <br />
อาหารที่ควรเลือกรับประทานได้แก่ อาหารทะเล ผักต่างๆและธัญพืช เช่น ซีเรียลโฮลวีท ที่มีใยอาหาร<br />
ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร วิตามินบี เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาท <br />
และเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง<br />
ข้อควรระวังสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้ คือความเครียด การออกกำลังกาย ที่ใช้พลังงานมาก <br />
กลับยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงควรฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ตีกอลฟ์ <br />
หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลตามธรรมชาติ<br />
<br />
<span style="color: red;">กรุ๊ป B</span><br />
<br />
พวกที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ป B ถือว่าเป็นเลือดที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ <br />
เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มทำการเกษตรเป็นแล้ว ก็เริ่มนำสัตว์มาเลี้ยงและรับประทานเนื้อ <br />
ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงรับประทานได้หลากหลาย ทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้<br />
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนอยู่ตรงที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ <br />
ดังนั้นจึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง <br />
นมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม สามารถทำได้โดยที่<br />
ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A<br />
ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แอโรบิค ว่ายน้ำ กอล์ฟ หรือแม้แต่โยคะ<br />
<br />
<span style="color: red;">กรุ๊ป AB</span><br />
<br />
มาถึงเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เรา พบว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 1,000 กว่านี้เอง <br />
จะมี 2 ลักษณะในตัว คือเป็นได้ทั้ง แบบกรุ๊ป A และกรุ๊ป B จึงสามารถรับประทานได้ทั้ง 2 กรุ๊ปเลือด<br />
ตามใจชอบ แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก <br />
เนื่องจากน้ำย่อยมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ไม่ค่อยดีนัก <br />
มักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก ในท้องส่วนล่าง หรือลำไส้ใหญ่ อาจสังเกตได้ง่ายๆ ถ้ามีอาการผิดปกติ <br />
คือ จะเรอบ่อย อาหารที่ควรรับประทาน เช่น อาหารทะเล ผักสด เต้าหู้ ผลไม้จำพวกส้มโอ องุ่น <br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่โยเกิร์ต เนื่องจากจะช่วยในการย่อย กระเพราะอาหารไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป <br />
และควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อขับไล่ของเสียในร่างกายที่มีมากกว่าคนกรุ๊ปอื่น <br />
ซึ่งเป็นเพราะความซับซ้อนทางด้านชีวเคมี ส่วนการออกกำลังกาย เลือกที่ทำให้จิตใจสงบมีสมาธิ <br />
อย่างเช่น โยคะ ยิงธนู เป็นต้น<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><span style="color: magenta;">รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมพิจารณาก่อนส่งอาหารจานอร่อยเข้าปาก และดำเนินชีวิตให้เกิดสมดุลตาธรรมชาติ </span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: magenta;">เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรัง บางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน </span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: magenta;">แต่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่ ...</span></div><br />
ต้องการดาวโหลดไปอ่านต่อ ...คลิ๊กลิงค์ด้านล่างจร้า!<br />
<br />
<br />
<center><a href="http://www.ziddu.com/download/10164119/BloodGroup.txt.html" target="_blank"><img alt="ดาวโหลด" border="0" src="http://i861.photobucket.com/albums/ab174/hahawsung555/Button-load-tip-face.gif" /></a></center>hahawsung555http://www.blogger.com/profile/12686552185572202078noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1647168485033377916.post-20796393839890775662010-06-05T13:13:00.000-07:002010-06-05T13:15:02.526-07:00เมนูที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่าง<div style="text-align: center;"><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAqu2khEo1I/AAAAAAAAALk/zk6RqWhuOqE/s1600/alcohol.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" gu="true" src="http://3.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAqu2khEo1I/AAAAAAAAALk/zk6RqWhuOqE/s320/alcohol.jpg" /></a></div><strong><span style="color: orange;">ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ค่ะ </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง</span></strong></div><br />
<span style="color: red;">นมและนมถั่วเหลือง</span><br />
แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด <br />
เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่<br />
<br />
<span style="color: red;">เหล้า</span><br />
หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร <br />
ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้<br />
<br />
<span style="color: red;">น้ำตาลหรืออาหารหวาน</span><br />
ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต <br />
เพราะหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำ<br />
ตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงาน<br />
ของระบบหมุนเวียนเลือดและไต<br />
<br />
<span style="color: red;">ชาที่แก่เกินไป</span><br />
ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง<br />
และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ<br />
<br />
<span style="color: red;">ลูกพลับ</span><br />
ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก <br />
หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก <br />
คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร<br />
<br />
<span style="color: red;">กล้วย</span><br />
เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง <br />
จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น <br />
ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้ง<br />
การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง<br />
<br />
<span style="color: red;">กระเทียม</span><br />
เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง<br />
<br />
<span style="color: red;">ผัก</span><br />
การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ<br />
นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน <br />
เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่าง <br />
จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย <br />
<br />
<span style="color: magenta;">อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี</span><br />
<br />
ต้องการดาวโหลดไปอ่านต่อ ...คลิ๊กลิงค์ด้านล่างจร้า!<br />
<br />
<br />
<center><a href="http://www.ziddu.com/download/10156269/donteat.txt.html" target="_blank"><img alt="ดาวโหลด" border="0" src="http://i861.photobucket.com/albums/ab174/hahawsung555/Button-load-tip-face.gif" /></a></center><center> </center><center> </center>hahawsung555http://www.blogger.com/profile/12686552185572202078noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1647168485033377916.post-15213070822802759252010-06-05T12:42:00.000-07:002010-06-05T12:47:37.863-07:00สูตรขัดผิวกายเผยผิวสวยค่ะ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAqnBWeFbcI/AAAAAAAAALc/zde80DIf70w/s1600/scrub2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" gu="true" src="http://3.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAqnBWeFbcI/AAAAAAAAALc/zde80DIf70w/s320/scrub2.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">เซลผิวเก่าถ้าสะสมมากเกินไปจะทำให้ผิวหมองคล้ำ ดูไม่สดใสนะคะ </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">และมักจะเป้นสาเหตุให้ผิวเหี่ยวและแก่เร็ว </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">เพราะฉะนั้นการขัดเซลผิวเก่าให้หมดจดมากเท่าไหร่ </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">ก็จะยิ่งทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมากขึ้นเท่านั้นค่ะ</span></strong> </div><br />
สูตรที่แนะนำวันนี้<br />
<br />
วิธีทำ ลองนำอโวคาโดผสมเกลือแล้วมาชุบผ้า <br />
จากนั้นก็นำมาขัดตัว แขน ขา เวลาอาบน้ำ ซึ่งก็จะทำให้เซลผิวเก่าหลุดออกง่าย <br />
คราวนี้เซลผิวใหม่ก็จะทำให้ผิวพรรณผุดผ่องไปทั้งตัวค่ะ <br />
<br />
ต้องการดาวโหลดไปอ่านต่อ ...คลิ๊กลิงค์ด้านล่างจร้า!<br />
<br />
<br />
<br />
<center><a href="http://www.ziddu.com/download/10156128/skin.txt.html" target="_blank"><img alt="ดาวโหลด" border="0" src="http://i861.photobucket.com/albums/ab174/hahawsung555/Button-load-tip-face.gif" /></a></center><center> </center><center> </center>hahawsung555http://www.blogger.com/profile/12686552185572202078noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1647168485033377916.post-11661365652408541912010-06-04T13:27:00.000-07:002010-06-05T23:30:08.553-07:00"อึ" กับ "ใบหน้า" ใกล้กันยิ่งกว่าที่คุณคิด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAqyC9JgUbI/AAAAAAAAALs/gdSenm3MiDc/s1600/toilet.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" gu="true" src="http://4.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAqyC9JgUbI/AAAAAAAAALs/gdSenm3MiDc/s320/toilet.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">ใครเคยอึแล้วหันกลับไปมองมันอย่างพินิจพิจารณาบ้าง?? </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">ไม่มี!! ยิ่งทุกวันนี้เครื่องสุขภัณฑ์หรูหราทันสมัย อึก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ถูกทำให้ "ห่างเหิน" </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">จากเจ้าของมันมากขึ้น ทั้งๆ ที่อึนั่นแหละคือ "สัญญาณ" ที่ดีของระบบสุขภาพคนเรา </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">เพราะมันจะสะท้อนว่า เรากินอะไรเข้าไป และร่างกายซึมซับได้มากน้อยแค่ไหน </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">ซึ่งสัญญาณเหล่านี้สุดท้ายก็ส่งผลต่อความอ่อนวัยของใบหน้าคนเราด้วย </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange;">"อึ" จึงสัมพันธ์กับ "ใบหน้า" อย่างใกล้ชิด!!</span></strong> </div><br />
<br />
<span style="color: red;">เพื่อเป็นการเปลี่ยนทัศนคติใหม่เกี่ยวกับอึให้ทุกคน เราจึงนำเรื่องราวดีๆ จากงานเสวนา </span><br />
<span style="color: red;">หัวข้อ "อึ ดั๊นลอยฟ่องเพราะกินของดี ดีท็อกซ์ เดลี หน้าใสนะคะ" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ </span><br />
<span style="color: red;">ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 โดยมีนักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งสาวๆ หน้าใสมาเป็นผู้ให้รายละเอียด</span> <br />
<br />
เริ่มจาก อัจฉรา พรไพศาลสกุล นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท อธิบายให้เห็นภาพการเดินทาง <br />
ของอาหารหลังจากผ่านเข้าสู่ปาก แล้วถูกย่อยด้วยกระเพาะอาหารก่อนจะส่ง ต่อไปยังลำไส้เล็กจนถึงลำไส้ใหญ่ <br />
"อาหารจะตกอยู่ในลำไส้ประมาณ 60-100 ชั่วโมง แต่เนื่องจากว่า ระบบการย่อยของคนเรา<br />
ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับสัตว์กินพืช ลำไส้จึงไม่เชี่ยวชาญในการย่อยเนื้อ จึงทำให้เกิดคราบตกค้าง<br />
ตามซอกของลำไส้ซึ่งนานวันมันก็จะเกิดการสะสมและเป็นสาเหตุของอาการท้องผูก <br />
ดังนั้น เราต้องกินผักซึ่งเป็นไม้กวาดลำไส้ซึ่งจะอยู่ในลำไส้ไม่เกิน 1 วัน <br />
จะช่วยชะล้างคราบเหล่านั้นออกไปพร้อมกันด้วย" <br />
นักโภชนาการอธิบาย แถมยังแนะนำให้รับประทานผักอย่างน้อย 1 ถ้วยต่อวัน <br />
เพื่อทำให้ขนาดของอึพอดีกับ ลำไส้และขับเคลื่อนผ่านไปได้สะดวก <br />
<br />
อึ สามารถบอกได้ว่าใครสุขภาพดีทั้งร่ายกายและใบหน้าอย่างไร พ.ญ.เรขา กลลดาเรืองไกร <br />
แพทย์ผู้ เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 ได้วิเคราะห์ลักษณะของอึในแต่ละรูปแบบว่า เจ้าของอึ<br />
เลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้องหรือไม่ พร้อมอยากให้ทุกคนได้เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ <br />
โดยหันหลังกลับไปดูสิ่งที่ขับถ่ายออกไป ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง <br />
เพื่อจะได้เข้าใจสุขภาพของตัวเองได้ถูกต้อง <br />
<br />
"อึ" ที่ลอยฟ่อง เป็นก้อนแตกกระจาย ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่เป็นก้อนยาวๆ ถ่ายได้ง่ายโดยไม่ต้องเบ่ง <br />
สีเขียวขี้ม้า หรือเหลืองทอง บ่งบอกว่าลำไส้ใหญ่สะอาด ไม่มีคราบตะกอนหมักหมม <br />
ถือเป็นคนที่เลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้อง และมีสุขภาพดี <br />
<br />
ส่วนถ้าใคร "อึ" เป็นก้อน จมน้ำ แต่ไม่ถึงกับเหม็นมาก สีค่อนข้างคล้ำ แสดงว่า กินเนื้อสัตว์เยอะกว่าผัก <br />
ถือว่าเป็นคนสุขภาพปานกลาง ซึ่งควรจะต้องรับประทานผักให้มากกว่านี้ <br />
<br />
แต่ถ้าสังเกตดูแล้วเห็นว่า "อึ" ติดชักโครกเป็นคราบเหนียวหนึบหนับ จับเป็นก้อน มีกลิ่นเหม็นตลบ<br />
อบอวลสีออกน้ำตาลดำ เข้าขั้นน่าเป็นห่วง เพราะบ่งบอกว่า สุขภาพย่ำแย่ เนื่องจากกินแต่เนื้อสัตว์ <br />
ไขมัน แป้งขัดขาวหรือข้าวขาวที่ไม่มีเส้นใย และที่สำคัญไม่ได้มีผักในอาหารแต่ละมื้อเลย <br />
<br />
"อึ" ที่เข้าข่ายวิกฤติและต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพราะอาจก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ คือ <br />
อึที่ เหนียวข้น สีดำเข้ม มีเลือดออกมากับอุจจาระ มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูกบ่อยๆ <br />
น้ำหนักตัวลดเร็วและเบื่ออาหาร ควรแก้ไขโดยการกิน ผักผลไม้เยอะๆ รวมถึงธัญพืชที่มีไฟเบอร์สูง <br />
ซึ่งจะช่วยดูดซึมและขนถ่ายโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไปใช้ประโยชน์มากขึ้น ช่วยเพิ่มเนื้ออุจจาระ <br />
ทำให้ขนาดพอเหมาะกับการบิดตัวของลำไส้ใหญ่ ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็ง<br />
และท้องจะไม่ผูกอีกต่อไป" เป็นคำแนะนำที่สามารถยืนยันได้จากคนสุขภาพดีอย่างคุณหมอเรขา <br />
การปฏิบัติตนอย่างถูกสุขลักษณะพิสูจน์ได้จากหน้าใสๆ ของเธอ <br />
นอกจากนี้ ยังมี 3 สาว ม.ล.จันทนิภา เกษมศรี ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงแรมแลนด์มาร์ค <br />
วรรณพร ตัญญูไพบูลย์ รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท โปรดปราน โปรเจค จำกัด และ กินรี ดาร์ริงตัน <br />
ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ดับเบิล อิมแพค มาร์เก็ตติ้ง คอมมิวนิเคชั่น จำกัด <br />
ที่แม้วัยจะย่างเข้า30 มาแล้วแต่ก็ยังหน้าใส ดูเป็นวัยรุ่นอยู่ตลอด พวกเธอเฉลยว่า <br />
การดื่มน้ำเยอะๆ วันละ 6-8 แก้ว กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกาย และขับถ่ายเป็นเวลา <br />
เป็นเหตุผลที่ทำให้ พวกเธอสุขภาพดีและยังมีใบหน้าที่สดใส อ่อนกว่าวัย เช่นนี้ เชื่อ ไม่ เชื่อ <br />
ก็ต้องลองนำไปใช้กันดู พร้อมทั้งอย่าลืมพิสูจน์ "อึ" ของตัวเองหลังปล่อยออกมาทุกครั้ง <br />
เป็นวิถีทางที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบสุขภาพของตัวเอง<br />
<br />
ต้องการดาวโหลดไปอ่านต่อ ...คลิ๊กลิงค์ด้านล่างจร้า! <br />
<br />
<br />
<center><a href="http://www.ziddu.com/download/10156446/Chit.txt.html" target="_blank"><img alt="ดาวโหลด" border="0" src="http://i861.photobucket.com/albums/ab174/hahawsung555/Button-load-tip-face.gif" /></a> </center><center> </center><center> </center>hahawsung555http://www.blogger.com/profile/12686552185572202078noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1647168485033377916.post-1237375551445373242010-06-04T04:54:00.000-07:002010-06-04T06:17:38.319-07:00แนะนำสูตรหน้าใสที่ทำได้ด้วยตัวคุณเอง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAjmkSGfBlI/AAAAAAAAALM/CDelAUvmtOE/s1600/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AA.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" gu="true" src="http://3.bp.blogspot.com/_0fwtaFRjBLg/TAjmkSGfBlI/AAAAAAAAALM/CDelAUvmtOE/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AA.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange; font-size: large;">ก้าวสู่ปีใหม่ที่เราจะสวยงามยิ่งๆ ขึ้นกว่าเดิม </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange; font-size: large;">ถึงแม้ว่าอายุจะเพิ่มขึ้นไป 1 ปีก็ตาม </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange; font-size: large;">เราได้สรรหาสูตรบำรุงผิวหน้า ให้สวยใส </span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: orange; font-size: large;">ซึ่งทำได้ง่ายๆ และส่วนผสมก็หาได้ในครัวนี่เอง</span></strong></div><br />
<br />
วันนี้เรามีสูตรหน้าใส มาแนะนำทั้งหมด 4 สูตร ซึ่งทุกท่านสามารถทำได้ด้วยตัวเอง<br />
<br />
ราคาประหยัด อีกทั้งวัตถุดิบก็หาง่าย และสะดวกรวดเร็วอีกด้วย<br />
<br />
สูตรที่ 1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า<br />
สูตรที่ 2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส<br />
สูตรที่ 3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน<br />
สูตรที่ 4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ<br />
<br />
<br />
<strong><span style="color: red; font-size: large;">มาดูวิธีทำกันเลย</span></strong><br />
<span style="font-size: large;"><br />
</span><br />
<strong><span style="font-size: large;"><span style="color: orange;">สูตรที่ 1 </span><span style="color: orange;">สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า</span></span></strong><br />
<br />
<br />
1. ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด <br />
<br />
2. นำแอปเปิ้ลที่ไม่ปลอกเปลือกสัก ครึ่งผล ปั่นให้ละเอียด พอกหน้าเว้นตรงเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที <br />
<br />
3. แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด<br />
<br />
เมื่อทำเป็นประจำจะทำให้ผิวหน้าแลดูเปล่งปลั่งสดใส เนียนดูอมชมพู<br />
<br />
สูตรที่ 2-4 โหลดไปศึกษาต่อเองนะคะ คลิ๊กโหลดด้านเลยค่ะ<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://www.ziddu.com/download/10135673/4face4.txt.html" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" gu="true" src="http://i861.photobucket.com/albums/ab174/hahawsung555/Button-load-tip-face.gif" /></a></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div>hahawsung555http://www.blogger.com/profile/12686552185572202078noreply@blogger.com1